Conversion ที่เพิ่มขึ้นวัดจํานวนจริงของ Conversion, การเข้าชมเว็บไซต์ และการกระทำอื่นๆ ซึ่งเกิดจากการที่กลุ่มเป้าหมายดูโฆษณาของคุณ ข้อมูล Conversion ที่เพิ่มขึ้นสามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดขาย โอกาสในการขาย และการติดตั้งแอปได้
ก่อนเริ่มต้น
ก่อนที่จะตั้งค่าการวัด Conversion Lift ได้ คุณต้องสร้างแคมเปญเพื่อแสดงในแพลตฟอร์ม Google Ads ที่รองรับ คุณสามารถใช้ Conversion Lift ที่อิงตามผู้ใช้กับแคมเปญวิดีโอ, Discovery และ Demand Gen หากสนใจใช้ Conversion Lift ที่อิงตามผู้ใช้กับแคมเปญ Display, Search, Shopping หรือ Performance Max โปรดติดต่อตัวแทนฝ่ายดูแลลูกค้าของ Google เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Conversion Lift
ความเป็นไปได้ของ Conversion Lift
หากต้องการใช้ Conversion Lift บัญชี Google Ads ต้องติดตามการกระทำที่ถือเป็น Conversion ที่เข้ากันได้อย่างน้อย 1 รายการ ระบบจะแชร์คะแนนความเป็นไปได้ (สูง ปานกลาง หรือต่ำ) และคำแนะนำเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อช่วยให้คุณตรวจพบ Lift คะแนนความเป็นไปได้จะอิงตาม Conversion ที่ประเมิน
เราขอแนะนําให้ทําการศึกษาที่มีคะแนนความเป็นไปได้ "สูง" เพื่อให้มีโอกาส 60-90% ที่จะได้ข้อมูลที่สรุปผลได้ และไม่แนะนําให้ทำการศึกษาที่มีคะแนนความเป็นไปได้ "ต่ำ" เนื่องจากมีโอกาสเพียง 0-30% ที่จะได้ข้อมูลที่สรุปผลได้
เราไม่รับประกัน Lift จึงขอแนะนําให้ใช้กําหนดการทดสอบที่มีการทำการศึกษาหลายรายการตลอดระยะเวลา 1 ปี
หากต้องการเพิ่ม Conversion โดยประมาณ ให้เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญเพื่อให้ได้ CPA ต่ำลงหรือ Conversion จํานวนมากขึ้น หรือเพิ่มงบประมาณ โปรดติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้จัดการฝ่ายดูแลลูกค้า
แนวทางปฏิบัติแนะนําในการวัด Conversion Lift
หมวดหมู่ Conversion
เราพบว่าการกระทำที่ถือเป็น Conversion ช่วงบนและช่วงกลางของ Funnel เช่น การดูหน้าเว็บ การส่งโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม การเพิ่มลงในรถเข็น และอื่นๆ แสดงให้เห็น Lift ที่สูงกว่า จึงน่าจะทำให้ได้การวัด Lift ที่มีนัยสำคัญทางสถิติ เราขอแนะนําให้วัดการกระทําที่ถือเป็น Conversion ทั้งช่วงล่างของ Funnel เช่น การซื้อ และการกระทําช่วงบนรวมถึงช่วงกลางของ Funnel ด้วย การกระทําใน Funnel ระดับบนนี้มีประโยชน์ในฐานะ KPI รองหรือสัญญาณที่บ่งชี้ว่าผู้ใช้ตอบสนองต่อโฆษณาในเชิงบวก ในกรณีที่การกระทําใน Funnel ระดับล่างมีข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับการวัดผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติ
กลยุทธ์การเสนอราคา
เราพบว่าแคมเปญที่ใช้กลยุทธ์การเสนอราคาตาม Conversion หรือตามมูลค่า Conversion เช่น ต้นทุนต่อการกระทำหนึ่งครั้ง (CPA) เป้าหมาย, เพิ่มจำนวน Conversion สูงสุด หรือผลตอบแทนเป้าหมายจากค่าโฆษณา (ROAS) มี Lift สูงกว่ากลยุทธ์การเสนอราคาอื่นๆ เช่น ต้นทุนต่อคลิก (CPC) ที่กำหนดเอง หรือต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้ง (CPM) ที่ตั้งไว้ เราขอแนะนําให้ลองใช้กลยุทธ์การเสนอราคาตาม Conversion หรือตามมูลค่า Conversion เพื่อยืนยันว่าวิธีนี้ทำให้แคมเปญมี Lift เพิ่มขึ้นหรือไม่
รูปแบบการระบุแหล่งที่มา
เราพบว่าแคมเปญที่ใช้การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลมีการเชื่อมโยงกับ Lift ที่สูงขึ้น รูปแบบการระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลได้รับการปรับเทียบตามสัญญาณส่วนเพิ่ม เราขอแนะนำให้ลองใช้การระบุแหล่งที่มาโดยอิงตามข้อมูลเมื่อคุณพยายามเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อรับ Conversion มากขึ้น เพื่อยืนยันว่าวิธีนี้ทำให้แคมเปญมี Lift ที่สูงขึ้น
ระยะเวลาการทดสอบ
คุณควรตั้งระยะเวลาการทดสอบให้ครอบคลุมเวลาหน่วงของ Conversion โดยเฉลี่ย ซึ่งเป็นเวลาเฉลี่ยระหว่างการแสดงผลและ Conversion อย่างเหมาะสม ระยะเวลาการศึกษาที่สั้นที่สุดที่เราอนุญาตคือ 7 วัน แต่ปกติเราจะแนะนำระยะเวลานานกว่า 14 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากธุรกิจมีเวลาหน่วงของ Conversion ที่ค่อนข้างนานหรือมี Conversion ที่มูลค่าสูง ตัวอย่างเช่น วงจรการซื้อสั้นๆ อย่างการสั่งพิซซ่าหรือซื้อตั๋วภาพยนตร์อาจทำการศึกษาระยะสั้นๆ 7-14 วันได้ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ราคาแพง เช่น ฟูกหรือที่พักสำหรับการท่องเที่ยว ต้องทำการศึกษานานกว่า 14 วัน เราพบว่าการศึกษาที่มีเวลาหน่วงของ Conversion นานและวัด Lift เป็นเวลาไม่ถึง 14 วันมี Lift แบบสัมบูรณ์ลดลงถึง -17% จึงขอแนะนําให้ทำการศึกษาอย่างน้อย 14 วัน
ความถี่ในการทำการศึกษา Conversion Lift
การทดสอบส่วนเพิ่มทุกประเภทมาพร้อมกับต้นทุนค่าเสียโอกาส ซึ่งหมายความว่าการทำการทดสอบและการระงับไม่ให้กลุ่มเป้าหมายส่วนหนึ่งดูโฆษณาอาจทำให้พลาดโอกาสที่จะได้ Conversion เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ลงโฆษณาจึงควรไตร่ตรองให้รอบคอบว่าจะทำการทดสอบส่วนเพิ่มเมื่อใดและบ่อยเพียงใด ความถี่ของการทดสอบมักจะสอดคล้องกับรอบงบประมาณ ตัวอย่างเช่น ผู้ลงโฆษณาควรทดสอบก่อนที่จะตัดสินใจครั้งสำคัญเรื่องงบประมาณ หรือเพื่อตรวจสอบสมมติฐานจากผลลัพธ์ของโมเดลสื่อผสมเพื่อให้การจัดสรรเงินเหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ ผลลัพธ์ Lift จะอยู่ในช่วงความเชื่อมั่นหนึ่งๆ เช่นเดียวกับการทดสอบทั้งหมด เราจึงขอแนะนำให้ใช้แผนการทดสอบเพื่อวัดส่วนเพิ่มอย่างสม่ำเสมอ จากข้อมูลย้อนหลัง เราพบว่าผู้ลงโฆษณาส่วนใหญ่ทำการศึกษาประมาณ 1-2 ครั้งต่อปี โปรดปรึกษาผู้จัดการฝ่ายดูแลลูกค้าหากเป้าหมายของคุณคือการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อรับส่วนเพิ่ม
ครีเอทีฟโฆษณามีความสำคัญ
อย่าลืมว่าครีเอทีฟโฆษณาคือสิ่งที่ผู้ใช้เห็นและกระตุ้นให้ผู้ใช้ทำ Conversion ได้ ครีเอทีฟโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากจะทำให้ได้ส่วนเพิ่มสูงขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว โฆษณาควรสอดคล้องกับเป้าหมายที่คุณต้องการวัด เริ่มต้นสร้างโฆษณาที่ยอดเยี่ยมได้โดยใช้หลักการ ABCD ดังนี้
- ความสนใจ (Attention): ดึงดูดและคงความสนใจโดยใช้เรื่องราวที่น่าจดจำ
- การแสดงแบรนด์ (Branding): แสดงแบรนด์ตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้บ่อยและน่าสนใจ
- การเชื่อมต่อ (Connection): ช่วยให้ผู้คนนึกถึงหรือรู้สึกบางอย่าง
- แนวทาง (Direction): ขอให้ดำเนินการ
วิธีการ
ตั้งค่า Conversion Lift ที่อิงตามผู้ใช้
- คลิกไอคอนเป้าหมาย ในบัญชี Google Ads
- คลิกเมนูแบบเลื่อนลงการวัดในเมนู "ส่วน"
- คลิกการวัด Brand Lift
- คลิกปุ่มบวก
- เลือก Conversion ที่เพิ่มขึ้น
- เลือกแคมเปญที่ต้องการเลือกใช้ Conversion Lift
- หมายเหตุ: แคมเปญจะทํางานในการศึกษาได้ครั้งละ 1 รายการเท่านั้น หากคุณเลือกแคมเปญไม่ได้ แสดงว่ามีการใช้แคมเปญนั้นในการศึกษาอื่นอยู่
- เลือกวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดของการศึกษา
- ตรวจสอบสถานะความเป็นไปได้ในคอลัมน์ด้านขวามือเพื่อดูค่าประมาณแนวโน้มการได้ผลลัพธ์ที่แม่นยําโดยพิจารณาจากแคมเปญที่กำลังวัดผล
- หมายเหตุ: สถานะความเป็นไปได้เป็น "สูง" แสดงว่าการศึกษามีโอกาสประสบความสําเร็จมากที่สุด การเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการทดสอบหรือการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญหรืองบประมาณจะช่วยให้คุณมีสถานะความเป็นไปได้ "สูง"
- คลิกบันทึก
ดูข้อมูลการวัดผลด้วย Conversion Lift
ข้อมูลการวัด Conversion ที่เพิ่มขึ้นใช้ได้ที่ระดับ "ผลิตภัณฑ์" หรือ "แบรนด์" ในตาราง "การวัด Brand Lift" คุณยังคลิกเข้าไปในการศึกษาระดับผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ที่เฉพาะเจาะจงเพื่อดูผลลัพธ์ที่ละเอียดยิ่งขึ้นได้ด้วย
วิธีดูข้อมูลการวัดผลด้วย Conversion Lift
- คลิกไอคอนคอลัมน์
- คลิกแก้ไขคอลัมน์
- เลือก Conversion Lift แล้วคลิกใช้