ปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญวิดีโอเพื่อกระตุ้นการกระทำที่มีอัตรา Conversion ต่ำ

แคมเปญวิดีโอเพื่อกระตุ้นการกระทำคือวิธีที่เรียบง่ายและคุ้มค่าในการเพิ่มจำนวน Conversion ทั้งในและนอก YouTube โดยทำทั้งหมดได้ในแคมเปญเดียวโดยใช้ AI ของ Google แคมเปญเหล่านี้ใช้กลยุทธ์ Smart Bidding โดย AI ของ Google เพื่อเพิ่ม Conversion ในบางกรณี แคมเปญอาจไม่ได้รับ Conversion ตามจํานวนที่คาดไว้

บทความนี้อธิบายวิธีเพิ่ม Conversion ในแคมเปญที่สร้าง Conversion ไม่ได้ตามจํานวนที่คาดไว้

ก่อนเริ่มต้น

1. ทำตามแนวทางปฏิบัติแนะนำทั้งหมดสําหรับแคมเปญวิดีโอเพื่อกระตุ้นการกระทำ

  • เครื่องมือวัด Conversion: ใช้เครื่องมือวัด Conversion ที่เกิดในเว็บของ Google Ads กับ gtag.js หรือ Google Tag Manager เพื่อให้การติดตามมีความแม่นยำและเพิ่มประสิทธิภาพเหตุการณ์ Conversion ที่ต้องการได้ นอกจากนี้ ให้ติดตามการกระทําที่สําคัญรองลงมาเพื่อให้ได้ Conversion ที่ต้องการรวดเร็วขึ้น เช่น ใช้ "เพิ่มลงในรถเข็น" เพื่อให้สัญญาณเพิ่มเติมกับ AI ของ Google
  • งบประมาณ: ตั้งงบประมาณให้มากกว่า tCPA อย่างน้อย 15 เท่าในแคมเปญ tCPA และมากกว่า CPA ที่คาดหวัง 10 เท่าในแคมเปญ "เพิ่มจำนวน Conversion สูงสุด" หากไม่แน่ใจว่า CPA ที่คาดหวังควรเป็นเท่าไร ให้ตั้งงบประมาณมากกว่า CPA ของแคมเปญ Search 2-3 เท่า หรือมากกว่า CPA ของแคมเปญ Display 1-2 เท่า
  • การเสนอราคา: หากทราบว่า CPA ของแคมเปญวิดีโอควรเป็นเท่าไร ให้เริ่มต้นด้วยการเสนอราคา tCPA หากไม่ทราบ ให้ใช้คําแนะนําเกี่ยวกับ CPA ใน UI เพื่อระบุ tCPA สําหรับแคมเปญ หากเป้าหมายหลักคือการเพิ่มจำนวน Conversion ให้มากที่สุดผ่านแคมเปญระยะสั้น ให้เริ่มด้วยการเสนอราคาแบบเพิ่มจำนวน Conversion สูงสุด
  • กลุ่ม: เริ่มต้นด้วย "กลุ่มที่กําหนดเอง - ข้อความค้นหา" ข้อมูลของคุณ การจับคู่ข้อมูลลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน และเลือกใช้ "การกำหนดเป้าหมายแบบเพิ่มประสิทธิภาพ" เพื่อแสดงโฆษณาต่อผู้คนจำนวนมากขึ้นที่มีแนวโน้มว่าจะทํา Conversion สําหรับกลุ่มที่กําหนดเอง ให้ใช้คีย์เวิร์ดสำหรับโฆษณา Search ที่ทําให้เกิด Conversion สูงสุด 10-15 คําเป็นข้อความค้นหา
  • ครีเอทีฟโฆษณา: เพิ่มไซต์ลิงก์ในแคมเปญหรือกลุ่มโฆษณา หรือเรียกใช้ครีเอทีฟโฆษณาหลายรูปแบบ (อย่างน้อย 5 รูปแบบหากเป็นไปได้ โดยเปลี่ยนปุ่มคำกระตุ้นให้ดำเนินการ (CTA), ข้อความบรรทัดแรก หรือชิ้นงานวิดีโอหลัก)

2. ทําความเข้าใจ Conversion Funnel ของวิดีโอและคำนึงถึงเมตริกการมีส่วนร่วม

แผนภาพนี้แสดงให้เห็นผลที่ Conversion แต่ละรายการมีต่อประสิทธิภาพของโฆษณาวิดีโอ

อัตราการมีส่วนร่วม: การมีส่วนร่วม/การแสดงผล

อัตราการดู: การดู/การแสดงผล

CTR = การคลิก/การแสดงผล

อัตรา Conversion (สําหรับวิดีโอ): Conversion การคลิกผ่าน/การดู

Conversion การดูอย่างมีส่วนร่วม (EVC): ไม่ใช่เมตริกใน Google Ads หากต้องการดูการรายงาน ให้คลิกไอคอนกลุ่ม กลุ่ม จากนั้นคลิก Conversion แล้วคลิก "ประเภทเหตุการณ์โฆษณา" ในเมนู "Conversion" ซึ่งจะแยก Conversion การคลิกผ่าน (ที่เรียกว่า "การคลิก") ออกจาก Conversion การดูอย่างมีส่วนร่วม (ซึ่งมีป้ายกํากับ "การโต้ตอบ") ในการรายงานแคมเปญ

อัตรา Conversion การดูอย่างมีส่วนร่วม: Conversion การดูอย่างมีส่วนร่วม/การมีส่วนร่วม ข้อมูลนี้ไม่รายงานใน Google Ads คุณต้องคํานวณด้วยตนเอง

อัตรา Conversion การดูผ่าน: Conversion การดูผ่าน/การแสดงผล คุณเพิ่มข้อมูลนี้เป็นคอลัมน์ที่กำหนดเองในการรายงานได้

ในแคมเปญวิดีโอ ระบบต้องนับผู้ใช้เป็นการดูจึงจะนับ Conversion ได้ แต่ผู้ใช้ไม่จําเป็นต้องคลิกโฆษณาในเว็บไซต์ หากผู้ใช้คลิกโฆษณาและไปที่เว็บไซต์ การคลิกจะรายงานไว้ในคอลัมน์ "การคลิก" ระบบจะยังคงนับผู้ใช้ว่าเป็น Conversion เช่นในกรณีที่เห็นโฆษณาแล้วไปที่เว็บไซต์เองและทํา Conversion เป็นต้น

เราขอแนะนำให้มองประสิทธิภาพเป็น Funnel เพื่อดูว่าขั้นตอนใดมีส่วนทำให้ประสิทธิภาพต่ำ คุณสามารถเพิ่มคอลัมน์ข้างต้นตามลําดับที่แสดงด้านล่างเพื่อให้เห็นภาพ Funnel และดูว่าการลดลงมากที่สุดเกิดขึ้นที่จุดใด

ในรายงานประสิทธิภาพ ให้คลิกไอคอนคอลัมน์ รูปภาพของไอคอนคอลัมน์ Google Ads แล้วเพิ่มคอลัมน์ต่อไปนี้ตามลําดับเดียวกัน

  • การแสดงผล
  • การมีส่วนร่วม
  • การดู
  • การคลิก
  • Conversion/Conversion การดูผ่าน

จากนั้นระบุว่าการลดลงมากที่สุดเกิดขึ้นที่จุดใดในขั้นตอนเหล่านี้ พร้อมทั้งหาวิธีปรับปรุงสิ่งต่อไปนี้

อัตราการดู (เดิมเรียกว่าอัตราการดูผ่านหรือ VTR): คุณเพิ่มอัตราการดูได้ด้วยการปรับปรุงคุณภาพของครีเอทีฟโฆษณา เพิ่มประสิทธิภาพความยาววิดีโอ และอื่นๆ

อัตราการคลิกผ่าน (CTR): คุณเพิ่ม CTR ได้ด้วยการปรับข้อความ CTA และครีเอทีฟโฆษณา

อัตรา Conversion (CVR): CVR แตกต่างกันมากโดยขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่ติดตามเป็น Conversion (เช่น การเข้าถึงหน้าเว็บ การส่งแบบฟอร์มสำหรับรวบรวมข้อมูลลูกค้า การซื้อสินค้าราคาแพง) วิธีที่ดีที่สุดในการตัดสิน CVR คือนำไปเปรียบเทียบกับแคมเปญอื่นๆ (เช่น Search, Display) ที่มีเป้าหมายเดียวกัน

นอกจากนี้ CVR ที่ต่ำยังอาจเกิดจากหน้า Landing Page คุณภาพต่ำ, ราคา และความพร้อมจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้วย

อัตราตีกลับ (ใช้ได้กับ Google Analytics): อัตราตีกลับที่สูงอาจเกิดจากหน้า Landing Page คุณภาพต่ำ การมีอัตราตีกลับสูงอาจส่งผลต่อทั้ง CTR และ CVR

หากต้องการดูรายละเอียด CTC เทียบกับ EVC ให้แบ่งกลุ่มรายงานโดยเลือก "Conversion" แล้วเลือก "ประเภทเหตุการณ์โฆษณา"

3. ตั้งความคาดหวังในช่วง "กำลังเรียนรู้" อย่างเหมาะสมและคำนึงถึงระยะเวลาก่อนที่จะเกิด Conversion

หากคุณเพิ่งเผยแพร่แคมเปญหรือทำการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญกับราคาเสนอ ครีเอทีฟโฆษณา การกําหนดเป้าหมาย และอื่นๆ โปรดรอ 7-14 วันก่อนที่จะประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญหรือเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น คุณระบุสถานะของแคมเปญได้โดยใช้สถานะกลยุทธ์การเสนอราคา หากแคมเปญยังอยู่ในช่วงเรียนรู้ สถานะกลยุทธ์การเสนอราคาจะเป็น "กําลังเรียนรู้" ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานะกลยุทธ์การเสนอราคา

เหตุผลที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้

กลยุทธ์การเสนอราคาใช้ AI ของ Google เพื่อปรับราคาเสนอโดยใช้สัญญาณที่บ่งชี้ว่าผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะทํา Conversion หรือไม่ หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงในแคมเปญ Google Ads ต้องใช้เวลาสักพักในการเพิ่มประสิทธิภาพราคาเสนอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ด้วยเหตุนี้คุณจึงต้องพยายามไม่ทำการเปลี่ยนแปลงในช่วงระยะเวลาเรียนรู้ การทำการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้ระบบต้องฝึกหรือปรับกลยุทธ์การเสนอราคาอีกครั้งเพื่อให้เป็นไปตามการตั้งค่าใหม่ที่ใช้กับแคมเปญ

ระยะเวลาที่ใช้ในช่วง "กำลังเรียนรู้"

ระยะเวลานี้แตกต่างกันไปตามปริมาณ Conversion ที่แคมเปญได้รับ หากได้รับ Conversion จํานวนสูงมาก (เกิน 100 รายการต่อวัน) ช่วงเรียนรู้จะใช้เวลาน้อย (1-3 วัน) แต่หากได้รับ Conversion จํานวนต่ำมาก (น้อยกว่า 5 รายการต่อวัน) ช่วงเรียนรู้จะใช้เวลา 14 วัน กลยุทธ์การเสนอราคาจะเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแคมเปญ แม้ว่าจะออกจากช่วงเรียนรู้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 14 วันแล้วก็ตาม แคมเปญจะมีแนวโน้มผันผวนตามการเปลี่ยนแปลงน้อยลงหลังออกจากช่วงเรียนรู้

ระยะเวลาก่อนที่จะเกิด Conversion

เมื่อดูประสิทธิภาพของแคมเปญ ให้คํานึงถึงระยะเวลาก่อนที่จะเกิด Conversion ในการรายงานด้วย หลังจากทราบ "จำนวนวันที่ใช้ในการทำ Conversion" โปรดอย่าดึงข้อมูลจากรายงานที่อยู่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ตัวอย่างเช่น หาก "จำนวนวันที่ใช้ในการทำ Conversion" คือ 3 วัน การรายงานที่รวมช่วง 3 วันที่ผ่านมาไว้ด้วยอาจไม่แสดงถึงประสิทธิภาพที่แท้จริง หากไม่คำนึงถึงระยะเวลาก่อนที่จะเกิด Conversion ระบบจะคำนวณประสิทธิภาพแคมเปญโดยจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งให้กับ Conversion ที่เกิดขึ้นแล้วแต่ยังไม่ปรากฏในรายงาน

4. ตรวจสอบว่ากำลังบันทึก Conversion ทั้งหมด

แม้แคมเปญจะทำให้เกิด Conversion แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณบันทึก Conversion ได้ทั้งหมดหรือได้ส่วนใหญ่ 

ลองมาดูสถานการณ์ที่คุณอาจไม่ได้บันทึก Conversion

  • Universal Analytics วัด Conversion การคลิกผ่านได้ แต่ไม่สามารถวัด EVC ซึ่งโดยเฉลี่ยคิดเป็น 50% ของ Conversion ทั้งหมดได้
  • การนําเข้า Conversion ออฟไลน์ตาม GCLID หรือพารามิเตอร์การติดตาม wbraid หรือ gbraid ใช้ไม่ได้กับ EVC ระบบ iOS เพิ่งรองรับ wbraid หรือ gbraid และคุณต้องอัปเดตโค้ดแบ็กเอนด์
  • แบนเนอร์ความยินยอมให้ใช้คุกกี้ซึ่งมักพบในสหภาพยุโรปจํากัดความสามารถในการติดตาม Conversion โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้รับการติดตั้งอย่างเหมาะสมด้วยโหมดความยินยอม
  • หน้า Landing Page บางหน้าอาจละเว้น GCLID หรือไม่มีแท็กที่จะรวบรวม
  • UA และ GA4 ไม่ได้ใช้ตรรกะการระบุแหล่งที่มา "ads greedy" ซึ่งมีส่วนทําให้สูญเสีย Conversion โดยเฉลี่ย 40%
  • รูปแบบการระบุแหล่งที่มาของคลิกสุดท้ายอาจทำให้แคมเปญวิดีโอมีประสิทธิภาพน้อยกว่าแคมเปญ Search/Shopping

5. ลองสร้าง Conversion "ระดับตื้น" ให้กลยุทธ์การเสนอราคาเพิ่มประสิทธิภาพ

หากคุณคาดว่าแคมเปญจะทำให้เกิด Conversion น้อยกว่า 10 รายการต่อวัน เราขอแนะนําให้สร้างแคมเปญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเหตุการณ์ที่เกิดบ่อยกว่า ตัวอย่างเช่น แคมเปญของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซขนาดเล็กทำให้เกิดการซื้อน้อยกว่า 10 ครั้งต่อวัน แต่ทำให้เกิดเหตุการณ์ "เพิ่มลงในรถเข็น" 50 ครั้ง จึงควรสร้างการกระทําที่ถือเป็น Conversion รองเพื่อติดตามเหตุการณ์ "เพิ่มลงในรถเข็น" และใช้เป้าหมาย Conversion ระดับแคมเปญเพื่อกําหนดค่าแคมเปญให้เพิ่มประสิทธิภาพตามเป้าหมายนั้น

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้เครื่องคํานวณมูลค่า Conversion นี้โดยป้อนขั้นตอนสําคัญในเส้นทางโอกาสในการขายสู่การขายที่เปลี่ยนผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเป็นผู้ซื้อ เครื่องนี้จะแสดงการกระทําที่ถือเป็น Conversion ที่มีคุณค่ามากที่สุดที่ควรเสนอราคาใน Google Ads

6. พิจารณาเมตริกประสิทธิภาพที่สำคัญเท่านั้น

กลยุทธ์การเสนอราคาโดย AI ของ Google จะเพิ่มประสิทธิภาพตามเมตริกเป้าหมายของแคมเปญในท้ายที่สุด ตารางด้านล่างอธิบายวิธีการทํางานโดยย่อของกลยุทธ์ต่างๆ

  จำนวน Conversion สูงสุด CPA เป้าหมาย มูลค่า Conversion สูงสุด ROAS เป้าหมาย
(ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา)
เป้าหมาย Conversion เพิ่มขึ้นเมื่อใช้งบประมาณที่ตั้งไว้ Conversion เพิ่มขึ้นโดยไม่เกิน tCPA ที่ตั้งไว้ มูลค่า Conversion เพิ่มขึ้นเมื่อใช้งบประมาณที่ตั้งไว้ Conversion เพิ่มขึ้นโดยไม่เกิน tROAS ที่ตั้งไว้
วิธีการ ไม่เน้น CPA เฉลี่ย
หรือเป้าหมาย tCPA มากนัก
เน้น CPA เฉลี่ยที่มีเป้าหมาย tCPA ชัดเจน ไม่คํานึงถึงมูลค่าที่เกี่ยวข้องกับค่าโฆษณา หาสมดุลระหว่างค่าใช้จ่ายกับมูลค่าที่ผู้ใช้ซื้อ
เมตริกที่เน้น Conversion ต้นทุน/Conv. (CPA) มูลค่า Conv. มูลค่า Conv./ต้นทุน (ROAS)

คุณไม่ควรให้ความสำคัญกับเมตริกที่ไม่ใช่เป้าหมายของแคมเปญเมื่อดูเมตริกประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น คุณอาจเห็นว่า CPV ของแคมเปญต่ำ แต่กรณีเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อกลยุทธ์การเสนอราคาไม่ได้เน้นให้ CPV เป็นเมตริกวัดความสําเร็จ

7. พร้อมทดสอบกลยุทธ์ Smart Bidding อีกครั้ง

เราทํางานอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงความสามารถของ Smart Bidding ในการคาดการณ์ Conversion หากคุณไม่ได้ตรวจสอบกลยุทธ์การเสนอราคามาระยะหนึ่งแล้ว เราขอแนะนําให้สํารวจกลยุทธ์นั้นอีกครั้ง

ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลนี้มีประโยชน์ไหม

เราจะปรับปรุงได้อย่างไร
true
Achieve your advertising goals today!

Attend our Performance Max Masterclass, a livestream workshop session bringing together industry and Google ads PMax experts.

Register now

ค้นหา
ล้างการค้นหา
ปิดการค้นหา
แอป Google
เมนูหลัก
1692151972017081955
true
ค้นหาศูนย์ช่วยเหลือ
true
true
true
true
true
73067
false
false
false