Google Ads จำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลเมื่อได้รับหลักเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับเป้าหมายของคุณ
กลับไปดูตัวอย่างเกมในอุปกรณ์เคลื่อนที่ของเรากัน
คุณเห็นว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ที่ซื้อแพ็กเกจอัปเกรดยังซื้อสกุลเงินเสมือนมูลค่า 750 บาทใน 30 วันหลังจากคลิกโฆษณาด้วย คุณต้องการพิจารณาถึงกำไรเพิ่มเติมในส่วนนี้ด้วยโดยการเพิ่ม CPI เป้าหมายสำหรับผู้ใช้ที่ซื้อแพ็กเกจอัปเกรด
คุณตัดสินใจเพิ่ม CPI เป้าหมายอีก 20% จาก 60 บาทเป็น 72 บาทใน App Campaign ที่เน้น "ปริมาณการติดตั้ง" ในขณะเดียวกันก็ตรวจสอบว่างบประมาณรายวันของแคมเปญอยู่ที่อย่างน้อย 3,600 บาท หรือคิดเป็น 50 เท่าของ CPI เป้าหมายใหม่นี้ สิ่งที่ควรสังเกตก็คือแนวทางที่คุณกำลังทำการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ ได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงราคาเสนอ CPI ที่น้อยลงทำให้ CPI รายวันของแคมเปญเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก โดยราคาเสนอ CPI เป้าหมายที่เพิ่มขึ้น 12 บาทนั้นเพิ่มขึ้นไม่เกิน 20% ต่อวัน ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่คงที่กว่า
- App Campaign จะให้ผลลัพธ์ที่คงเส้นคงวามากขึ้นเมื่อรวบรวมข้อมูล Conversion ได้มากขึ้นที่เป้าหมายราคาเสนอใหม่ คุณควรรอให้ได้รับ Conversion อย่างน้อย 100 ครั้งก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงราคาเสนออีก
สมมติว่าคุณต้องการเลือกการกระทำใหม่ในแอปให้กับ App Campaign ที่เน้น "การกระทำในแอป" โดยจะเปลี่ยนจากการหาผู้ที่ซื้อแพ็กเกจอัปเกรดในเกมในอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นผู้ที่ซื้อสกุลเงินเสมือน
คุณจะต้องหยุด App Campaign ที่มีอยู่ซึ่งกําลังเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการกระทำในแอป "การซื้อการอัปเกรด" ไว้ชั่วคราว จากนั้นสร้าง App Campaign อีกแคมเปญที่จะเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการกระทำในแอป "การซื้อสกุลเงินเสมือน" นี้ App Campaign ใหม่จะปรับราคาเสนอและโฆษณาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่อาจมีพฤติกรรมต่างจากกลุ่มเป้าหมายเดิมได้ดีขึ้น
รายงานชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาจะแจ้งให้ทราบว่าชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาประเภทใดกำลังช่วยให้ App Campaign บรรลุเป้าหมายที่คุณตั้งไว้
ใช้คอลัมน์การจัดกลุ่มประสิทธิภาพในรายงานเพื่อดูว่าชิ้นงานใดได้รับการเลือกบ่อยกว่า การจัดกลุ่มนี้สัมพันธ์กับชิ้นงานอื่นๆ ที่อยู่ในประเภทเดียวกันภายในแคมเปญ
เพิ่มชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาที่คล้ายกับชิ้นงานที่จัดอยู่ในกลุ่ม "ดีที่สุด"
เช่น คุณสังเกตเห็นว่ารายงานชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาได้จัดเนื้อหาวิดีโอบางรายการไว้ในกลุ่มประสิทธิภาพ "ดีที่สุด" เนื้อหาวิดีโอเหล่านี้แสดงการดำเนินการที่เกิดจากเกมในแนวนอน คุณจึงตัดสินใจเพิ่มชิ้นงานวิดีโอแนวนอนที่แสดงธีมที่คล้ายกัน
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรนำชิ้นงานที่จัดอยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพ "ต่ำ" ออก เพียงแต่ให้มุ่งเน้นที่การแสดงชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาจำนวนมากที่สุดที่อนุญาตใน App Campaign ก่อน
เช่น ชิ้นงานวิดีโอแนวตั้งที่อยู่ในกลุ่มประสิทธิภาพ "ต่ำ" อาจยังทำงานได้ดีในตำแหน่งโฆษณาบางตำแหน่งที่ไม่เข้ากับชิ้นงานวิดีโอแนวนอน แทนที่ชิ้นงานด้วยเนื้อหาในกลุ่มประสิทธิภาพ "ต่ำ" เฉพาะหลังจากที่คุณได้อัปโหลดชิ้นงานเป็นจำนวนสูงสุดที่อนุญาตแล้ว
ทำไมความหลากหลายของชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาจึงสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพ
ชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาที่ผสมผสานกันอย่างหลากหลายช่วยให้ App Campaign ปรับแต่งโฆษณาที่จะเข้ากับตำแหน่งโฆษณาทุกตำแหน่ง รายงานชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาช่วยให้คุณทราบว่าชิ้นงานใดเหมาะกับสถานการณ์ใด
เนื่องจากรายงานชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาจัดอันดับประสิทธิภาพโดยเทียบกับชิ้นงานอื่นๆ ในแคมเปญ การขาดชิ้นงานที่หลากหลายจึงอาจบิดเบือนการวิเคราะห์ได้ ตัวอย่างเช่น คุณจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างเนื้อหาวิดีโอแนวตั้งกับแนวนอนไม่ได้หากอัปโหลดเฉพาะวิดีโอในแนวตั้งหรือแนวนอนเพียงแนวเดียว
บทสรุป
เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นผู้ใช้รายใหม่ๆ เข้ามามีส่วนร่วมกับแอปของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของและทำการกระทำที่มีคุณค่าอื่นๆ ในแอปจนเสร็จสมบูรณ์
แต่คุณต้องไม่หยุดเพียงเท่านี้ โดยจะต้องดึงดูดผู้ใช้ที่มีคุณค่าทุกคนให้กลับเข้ามาอีกเรื่อยๆ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเคล็ดลับในการเพิ่มการมีส่วนร่วมในแอปบนอุปกรณ์เคลื่อนที่