หน้า Landing Page ที่เร็วขึ้นมักนำไปสู่ Conversion ที่มากขึ้น และ Accelerated Mobile Pages (AMP) จะช่วยคุณสร้างหน้า Landing Page ที่โหลดได้อย่างรวดเร็ว (มีหลายหน้าที่โหลดเสร็จในไม่ถึง 1 วินาที) หน้า Landing Page แบบ AMP มักจะมอบประสบการณ์หน้า Landing Page ที่ดีกว่าด้วยการโหลดที่ทั้งเร็วและราบรื่นขึ้น และประสบการณ์หน้า Landing Page เป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้คำนวณคะแนนคุณภาพ
บทความนี้จะแสดงวิธีทดสอบว่าหน้า Landing Page แบบ AMP ของคุณดึงดูด Conversion ได้เพิ่มขึ้นหรือไม่ การทดสอบ A/B คือวิธีเปรียบเทียบตัวแปร 1 ตัวใน 2 เวอร์ชัน (ในกรณีนี้ก็คือหน้า Landing Page) เพื่อดูว่าเวอร์ชันใดมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
วิธีทำการทดสอบ A/B กับแคมเปญ AMP
คุณทำการทดสอบ A/B กับแคมเปญ AMP ได้ 2 วิธี วิธีการทดสอบที่เลือกจะขึ้นอยู่กับระดับรายละเอียดและโครงสร้างของแคมเปญ
วิธีการ | ข้อดี | สิ่งที่ควรพิจารณา |
แบบร่างและการทดสอบ [แนะนำ] |
|
|
โฆษณารูปแบบต่างๆ |
|
|
ก่อนเริ่มต้น
เคล็ดลับที่จะช่วยให้แคมเปญทดสอบ AMP ทำงานอย่างราบรื่นมีดังนี้
ควร: ใช้ https://search.google.com/test/ampเพื่อให้หน้า AMP ใช้ได้ในช่วงทดสอบ
ไม่ควร: เริ่มการทดสอบแบบร่างและการทดสอบทันทีหลังจากเปิดตัวหน้า Landing Page แบบ AMP โปรดรอ 2 วันเพื่อให้หน้า AMP แสดงจากแคชก่อนทดสอบ
ควร: เรียกใช้การทดสอบในแคมเปญที่กำหนดเป้าหมายเป็นการเข้าชมในอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่ควร: เรียกใช้การทดสอบกับแคมเปญที่มีไซต์ลิงก์ เนื่องจากปัจจุบันเซิร์ฟเวอร์แคช AMP ยังไม่รองรับแคมเปญเหล่านี้
ควร: ใช้การแบ่งฝั่งที่อิงตามคุกกี้เพื่อให้ผู้ใช้เห็นเฉพาะหน้า AMP หรือหน้าที่ไม่ใช่ AMP ไม่ว่าจะค้นหากี่ครั้งก็ตาม เนื่องจากหน้า AMP จะแสดงจากแคชในรูปแบบนี้เท่านั้น จึงให้ใช้เฉพาะกับแคมเปญในเครือข่ายการค้นหาที่มีโฆษณาแบบข้อความ
ไม่ควร: วางพารามิเตอร์ที่ใช้ในการติดตามโดยเฉพาะไว้ก่อนพารามิเตอร์ {ignore} ใน URL สุดท้ายในอุปกรณ์เคลื่อนที่ แต่ให้วางไว้หลังพารามิเตอร์ {ignore}
ควร: ตั้งเวลาและเรียกใช้การทดสอบเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าแบบร่างและการทดสอบจะแสดงผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติ
ไม่ควร: ใช้แคมเปญที่มีจำนวนการคลิกน้อยกว่า 250 ครั้งต่อวัน
ควร: ทดสอบโดยมุ่งเน้นครั้งละ 1 ตัวแปร หากต้องการตรวจสอบผลของการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 1 รายการ ให้ใช้การทดสอบแยกกัน
ไม่ควร: ทำการเปลี่ยนแปลงในแคมเปญขณะเรียกใช้การทดสอบ หากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหน้า AMP ให้ทำการเปลี่ยนแปลงนั้นในแคมเปญทดสอบโดยเร็วที่สุดด้วย
ควร: ใช้กับแคมเปญโฆษณาแบบข้อความในเครือข่ายการค้นหา เนื่องจากหน้า AMP จะแสดงจากแคชในรูปแบบนี้เท่านั้น
ไม่ควร: ลืมว่าโฆษณาในแคมเปญทดสอบต้องผ่านการอนุมัติโฆษณาเช่นเดียวกับในแคมเปญอื่นๆ ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 1 วัน ดังนั้นโปรดคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วยเมื่อตั้งค่าวันที่เริ่มต้นการทดสอบ ในทำนองเดียวกัน หากเลือกที่จะเพิ่มครีเอทีฟโฆษณาทดสอบกลับไปยังแคมเปญเดิม ครีเอทีฟโฆษณาดังกล่าวก็จะต้องได้รับการตรวจทานด้วยเช่นกัน
หากคุณวางแผนที่จะเรียกใช้การทดสอบประเภทใดก็ตามกับแคมเปญที่ใช้การเสนอราคาอัตโนมัติของ Google ให้รออย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อให้ทั้งแคมเปญเดิมและแคมเปญทดสอบปรับเทียบระดับการเข้าชมใหม่อีกครั้งก่อนที่จะประเมินผลลัพธ์
โปรดตรวจสอบว่าหน้า Landing Page ทั้งแบบ AMP และไม่ใช่ AMP มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ (หรือคล้ายกันมากที่สุด) เพื่อให้ผลการทดสอบออกมาแม่นยำที่สุด โปรดระวังไม่ให้เกิดความแตกต่างในเรื่องต่อไปนี้
- ข้อความ (ขนาด เนื้อหา และการจัดรูปแบบ)
- รูปภาพ (ขนาด เนื้อหา)
- ช่องส่งข้อมูล (จำนวนช่อง ข้อความที่เติมล่วงหน้า ตัวเลือกวันที่)
หากหน้าแบบ AMP และที่ไม่ใช่ AMP มีองค์ประกอบข้างต้นต่างกัน ก็อาจส่งผลให้ผลการทดสอบบิดเบือนและให้ภาพรวมของประสิทธิภาพ AMP ที่ไม่ถูกต้อง
เรียกใช้การทดสอบเมื่อใช้การเสนอราคาอัตโนมัติของ Google
หากคุณวางแผนที่จะเรียกใช้การทดสอบประเภทใดก็ตามกับแคมเปญที่ใช้การเสนอราคาอัตโนมัติของ Google ให้รออย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อให้ทั้งแคมเปญเดิมและแคมเปญทดสอบปรับเทียบระดับการเข้าชมใหม่อีกครั้งก่อนที่จะประเมินผลลัพธ์
เรียกใช้การทดสอบด้วย Search Ads 360
คุณสร้างแบบร่างและการทดลองจาก Search Ads 360 ไม่ได้ หากสร้างแบบร่างใน Google Ads การเปลี่ยนแปลงที่ทำกับแบบร่างจะไม่ปรากฏใน Search Ads 360 จนกว่าคุณจะใช้แบบร่างนั้นและซิงค์การเปลี่ยนแปลง
หากสร้างการทดสอบใน Google Ads และซิงค์บัญชีกับ Search Ads 360 การทดสอบจะปรากฏใน Search Ads 360 เป็นแคมเปญใหม่
- การทดสอบใน Search Ads 360 มีลักษณะเหมือนแคมเปญปกติ
- หากคุณใช้กลยุทธ์การเสนอราคาของโฆษณา Search Ads 360 กับแคมเปญเดิม ระบบจะนำกลยุทธ์การเสนอราคานั้นไปใช้กับการทดสอบโดยค่าเริ่มต้นด้วย
- แคมเปญเดิมและการทดสอบจะใช้งบประมาณร่วมกัน หากใช้กลยุทธ์การเสนอราคาตามงบประมาณกับแคมเปญเดิม คุณควรนำกลยุทธ์การเสนอราคานี้ออกก่อนที่จะสร้างการทดสอบเนื่องจากกลยุทธ์การเสนอราคานี้จะจัดการค่าใช้จ่ายไม่ได้เมื่อมีการใช้งบประมาณร่วมกัน
วิธีทำการทดสอบ A/B กับแคมเปญ AMP โดยใช้ฉบับร่างและการทดสอบ
- เลือกแคมเปญที่จะทดสอบ
- ตามหลักแล้ว แคมเปญดั้งเดิมที่คุณใช้สร้างการทดสอบควรจะเป็นแคมเปญสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่เท่านั้น
- คุณแบ่งกลุ่มตารางสรุปสถิติการทดสอบตามอุปกรณ์ไม่ได้ แต่แบ่งกลุ่มผลลัพธ์ของแคมเปญทดสอบตามอุปกรณ์ได้ ทั้งนี้จะไม่มีการรายงานที่มีนัยสำคัญทางสถิติ หากไม่มีแคมเปญสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่เท่านั้น เมื่อสิ้นสุดการทดสอบคุณจะต้องแบ่งกลุ่มผลลัพธ์ของแคมเปญทดสอบตามอุปกรณ์เพื่อดูว่า AMP ส่งผลต่อประสิทธิภาพเฉพาะในอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่างไรบ้าง
- ตรวจดูว่าคุณได้สร้างเวอร์ชัน AMP ของหน้า Landing Page ทุกหน้าในแคมเปญแล้ว
- ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนแคมเปญ
- คลิกเมนูแบบเลื่อนลงแคมเปญในเมนู "ส่วน"
- สร้างแบบร่างของแคมเปญนั้น
- อัปเดต URL ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ของแคมเปญร่าง อย่าลืมทำสิ่งต่อไปนี้
- ค้นหาโฆษณาและคีย์เวิร์ดแต่ละรายการที่ได้รับการกำหนด URL สุดท้ายไว้
- เลือก "ใช้ URL สุดท้ายที่แตกต่างกันสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่" จากนั้นวาง URL ของแคมเปญ AMP
- ตรวจดูว่า URL ในอุปกรณ์เคลื่อนที่นำทางไปยังหน้า AMP ในโดเมน (เช่น https://example.com/page_amp.html) ไม่ใช่ไปยังเซิร์ฟเวอร์แคช AMP ของ Google (เช่น https://google.com/amp/s/example.com หรือ https://cdn.ampproject.org/c/s/example.com)
- ไม่ต้องเปลี่ยน URL ของแคมเปญฐาน
- เรียกใช้การทดสอบจากแบบร่างที่สร้างขึ้นใหม่ เราแนะนำให้ทำดังนี้
- กำหนดการแบ่งงบประมาณเป็น 50/50% เพื่อให้เวอร์ชันทดสอบของแคมเปญมีสิทธิ์ 50% จากทั้งหมด ซึ่งน่าจะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์ได้เร็วที่สุด โปรดทราบว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงการแบ่งงบประมาณไม่ได้เมื่อการทดสอบเริ่มทำงานไปแล้ว
- ใช้การแบ่งฝั่งที่อิงตามคุกกี้ ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะเห็นแคมเปญเพียงเวอร์ชันเดียว ไม่ว่าจะค้นหากี่ครั้งก็ตาม วิธีนี้ช่วยรับประกันได้ว่าปัจจัยอื่นๆ จะไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์และอาจให้ข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น
- หากคุณใช้รายการกลุ่มเป้าหมาย ให้ตรวจดูว่ารายการดังกล่าวมีผู้ใช้อย่างน้อย 10,000 รายเพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์
- เลือกวันที่เริ่มต้นและวันที่สิ้นสุดที่เหมาะสมเพื่อให้มีระยะเวลาที่เหมาะสมและเพิ่มโอกาสที่จะพบผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญ
จากคนวงใน
- ยิ่งแคมเปญได้รับการคลิกในอุปกรณ์เคลื่อนที่มาก การทดสอบก็จะยิ่งได้ผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญเร็วขึ้น
- เมื่อสร้างแคมเปญร่าง ให้เปลี่ยนเฉพาะ URL สุดท้ายบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ และคงทุกอย่างไว้เหมือนเดิมเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด
- หากทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับแคมเปญดั้งเดิม การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะไม่แสดงในแคมเปญทดสอบ (และในทางกลับกันด้วย) ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงราคาเสนอ ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงราคาเสนอในแคมเปญดั้งเดิมรวมทั้งแคมเปญทดสอบด้วย อีกทั้งยังควรเปลี่ยนแปลงพร้อมกันเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผลการทดสอบบิดเบือน
- ตั้งชื่อแคมเปญให้ชัดเจน (เช่น “ชื่อแคมเปญ_AMP” สำหรับแบบร่าง) เพื่อให้พบได้ง่ายในภายหลัง
- เราแนะนำให้ใช้แบบร่างและการทดสอบเฉพาะเมื่อคุณกำลังอัปเดต URL สุดท้ายบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้งหมดในแคมเปญทดสอบ หากคุณเปลี่ยนแปลงเฉพาะ URL ในกลุ่มโฆษณากลุ่มเดียว เราขอแนะนำให้ย้ายกลุ่มโฆษณานั้นไปไว้ในแคมเปญใหม่ โดยหยุดกลุ่มโฆษณาในแคมเปญดั้งเดิมไว้ชั่วคราว แล้วเรียกใช้การทดสอบในแคมเปญใหม่
วิธีทำการทดสอบ A/B กับแคมเปญ AMP โดยใช้โฆษณารูปแบบต่างๆ
เมื่อใช้การทดสอบรูปแบบโฆษณา AMP คุณจะแบ่งกลุ่มผลการทดสอบตามอุปกรณ์เพื่อแยกดูเมตริกประสิทธิภาพบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้
- ในบัญชี Google Ads ให้คลิกไอคอนแคมเปญ
- คลิกเมนูแบบเลื่อนลงแคมเปญในเมนู "ส่วน"
- คลิกการทดสอบ
- คลิกโฆษณารูปแบบต่างๆ
- เลือกแคมเปญที่ต้องการเรียกใช้โฆษณารูปแบบต่างๆ โปรดทราบว่าคุณจะสร้างรูปแบบโฆษณาหลายรายการสำหรับแคมเปญเดียวกันในช่วงวันที่เดียวกันไม่ได้
- หากต้องการสร้างโฆษณารูปแบบใหม่ ให้คลิกปุ่มบวก
- คลิกกรองโฆษณาหากต้องการจำกัดตัวเลือกให้แคบลง
- คลิกต่อไป
- คลิกเมนูแบบเลื่อนลงภายใน "เลือกประเภทของรูปแบบที่คุณต้องการใช้กับโฆษณา" แล้วเลือกค้นหาและแทนที่
- ในช่อง “ป้อนข้อความที่จะค้นหา” ให้ป้อน URL บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่คุณต้องการแทนที่ด้วย URL ของ AMP ที่อัปเดต
- คลิกช่องรายการแบบเลื่อนลงทางด้านขวาของ URL ที่คุณเพิ่งป้อนไป แล้วเลือกใน URL สุดท้ายบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
- ในช่อง “ป้อนข้อความที่จะแทนที่” ให้ป้อน URL ของ AMP ที่อัปเดต
- คลิกต่อไป
- ป้อนชื่อให้กับรูปแบบ
- เลือกวันที่เริ่มต้นและสิ้นสุดของการทดสอบ
- เลือกการแยกการเข้าชม เราขอแนะนำให้ใช้การแยกแบบ 50/50 เพื่อที่ว่ารูปแบบโฆษณาและโฆษณาดั้งเดิมจะได้เข้าสู่การประมูลในจำนวนครั้งที่เท่ากัน
- เมื่อรูปแบบโฆษณาสิ้นสุด ให้คลิกปุ่มกลุ่ม ในแถบเมนู แล้วคลิกอุปกรณ์ในเมนูแบบเลื่อนลง "กลุ่ม"