มีหลายวิธีในการปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาที่เพิ่งสร้างใหม่ บทความนี้ให้เคล็ดลับในการเลือกการตั้งค่าที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้แคมเปญของคุณประสบความสำเร็จ
เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญระหว่างที่สร้าง
ขณะสร้างแคมเปญ คุณอาจได้รับการแจ้งเตือนตามการตั้งค่าที่เลือก ซึ่งแจ้งให้คุณทราบถึงปัญหาที่อาจทําให้ประสิทธิภาพลดลงหรืออาจมีความร้ายแรงมากพอที่จะทําให้ไม่สามารถเผยแพร่แคมเปญได้
เมนูการนําทางสำหรับสร้างแคมเปญซึ่งปรากฏขึ้นขณะที่คุณสร้างแคมเปญแสดงภาพรวมของความคืบหน้าในการสร้าง และแสดงการแจ้งเตือนที่คุณอาจต้องจัดการ เลื่อนไปมาระหว่างขั้นตอนต่างๆ ในเมนูการนําทางเพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับการกําหนดเป้าหมาย การเสนอราคา งบประมาณ หรือการตั้งค่าแคมเปญอื่นๆ อย่างง่ายดาย ดูวิธีสร้างแคมเปญให้ประสบความสําเร็จ
1. ตั้งค่าเครื่องมือวัด Conversion ในเว็บไซต์
เครื่องมือวัด Conversion ให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญของคุณ Conversion จะแสดงให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อลูกค้าโต้ตอบกับโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อผลิตภัณฑ์ ลงชื่อสมัครรับจดหมายข่าว โทรหาธุรกิจ หรือดาวน์โหลดแอป
เมื่อลูกค้าทำสิ่งต่างๆ ที่คุณกำหนดว่ามีคุณค่าจนสำเร็จแล้ว การกระทำเหล่านั้นจะนับเป็น Conversion หากต้องการเปิดใช้เครื่องมือวัด Conversion ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ตั้งค่าการกระทำที่ถือเป็น Conversion ให้กับบัญชี
- คัดลอกโค้ดที่เรียกว่า "แท็ก"
- วางแท็กลงในเว็บไซต์
ดูวิธีตั้งค่าเครื่องมือวัด Conversion สำหรับเว็บไซต์
2. ใช้กลยุทธ์ Smart Bidding เช่น เพิ่มจำนวน Conversion สูงสุด
การเสนอราคาอัตโนมัติใช้ AI ของ Google เพิ่มประสิทธิภาพราคาเสนอที่เหมาะสมกับการประมูลเพื่อแสดงโฆษณาทุกครั้ง ผู้ลงโฆษณาส่วนใหญ่ใช้การเสนอราคาอัตโนมัติเนื่องจากกลยุทธ์การเสนอราคาเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาที่ต้องใช้ไปกับการปรับราคาเสนอด้วยตนเอง
Smart Bidding คือกลยุทธ์การเสนอราคาอัตโนมัติประเภทหนึ่งที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Conversion หรือมูลค่า Conversion หากต้องการเข้าถึง Smart Bidding คุณจะต้องตั้งค่าเครื่องมือวัด Conversion ก่อน หากไม่มีเครื่องมือวัด Conversion คุณยังใช้การเสนอราคาอัตโนมัติกับการเพิ่มจำนวนคลิกสูงสุดได้ เมื่อตั้งค่าเครื่องมือวัด Conversion ในเว็บไซต์แล้ว ให้แก้ไขการตั้งค่าของแคมเปญเพื่อใช้กลยุทธ์การเสนอราคาตาม Conversion
เราขอแนะนำให้ใช้การเพิ่มจำนวน Conversion สูงสุดเพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสิ่งที่มีค่าต่อธุรกิจและลดเวลาที่คุณต้องใช้ในการดูแลแคมเปญรายวัน
ดูวิธีเปลี่ยนกลยุทธ์การเสนอราคา
3. ขยายการกำหนดเป้าหมาย
การกำหนดเป้าหมายโฆษณาไปยังเมืองขนาดเล็กหรือคีย์เวิร์ดจำนวนน้อยอาจทำให้แคมเปญแสดงต่อลูกค้าไม่ได้ แต่ในทางกลับกัน การกำหนดเป้าหมายไปยังพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่เกินไปก็อาจดึงผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้เข้ามาในเว็บไซต์ได้ วิธีหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมีดังนี้
กำหนดสถานที่ของลูกค้าเป้าหมาย ไม่ใช่แค่สถานที่ของธุรกิจ
สมมติว่าคุณมีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ คุณต้องการกำหนดเป้าหมายสถานที่ทั้งหมดที่คุณจัดส่ง ไม่ใช่สถานที่ที่ธุรกิจของคุณตั้งอยู่เพียงอย่างเดียว เพราะไม่ว่าโฆษณาของคุณจะดีเยี่ยมเพียงใดก็อาจไม่ได้ผล หากแสดงในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม อย่าลืมว่าคุณปรับแต่งการตั้งค่าการกำหนดเป้าหมายตามสถานที่ได้ทุกเมื่อ
ดูวิธีใช้การกำหนดเป้าหมายตามสถานที่
เพิ่มคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องให้ได้มากที่สุด
ผู้ลงโฆษณาที่ชำนาญจะยอมลงทุนเวลาและความพยายามเพื่อสร้างรายการคีย์เวิร์ดที่ดี เมื่อคุณเลือกคีย์เวิร์ด ให้พยายามนึกถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการค้นหาทั้งหมด โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- จดหมวดหมู่หลักของธุรกิจ
- สำหรับแต่ละหมวดหมู่ ให้จดคำหรือวลีที่ลูกค้าน่าจะใช้เพื่ออธิบายผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
- เพิ่มคำเหล่านี้ลงในเครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดเพื่อรับแนวคิดคีย์เวิร์ดเพิ่มเติมและดูค่าประมาณของจำนวนผู้ที่ค้นหาคีย์เวิร์ดเหล่านั้น
- สมมติว่าคุณขายรองเท้าผู้ชาย คุณอาจเริ่มจากหมวดหมู่พื้นฐานอย่าง "รองเท้ากีฬาผู้ชาย" ก่อน แล้วอาจเพิ่มคำที่เกี่ยวข้องลงในหมวดหมู่นี้อีก เช่น "รองเท้าผ้าใบผู้ชาย" และ "รองเท้าเทนนิสผู้ชาย" จากนั้นจึงขยายรายการเพิ่มขึ้นได้โดยใส่ชื่อแบรนด์และชื่อผลิตภัณฑ์ เช่น "รองเท้าผ้าใบผู้ชายของ Acme"
4. กระจายคีย์เวิร์ดลงในกลุ่มโฆษณามากกว่า 1 กลุ่ม
กลุ่มโฆษณามีโฆษณาที่จะแสดงต่อผู้ที่กำลังค้นหาคำใดคำหนึ่งโดยเฉพาะ แคมเปญมีกลุ่มโฆษณาได้หลายกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีโฆษณาและคีย์เวิร์ดเป็นของตัวเอง เนื้อหาโฆษณาควรเกี่ยวข้องโดยตรงกับคีย์เวิร์ดในกลุ่มโฆษณา
สมมติว่าคุณเปิดร้านขายจักรยานออนไลน์ คุณอาจต้องการให้มีกลุ่มโฆษณาแยกต่างหากสำหรับจักรยานเด็ก จักรยานแข่ง จักรยานเสือภูเขา จักรยานเสือหมอบ หมวกจักรยาน และอุปกรณ์ล็อกจักรยาน กลุ่มโฆษณาสำหรับจักรยานเด็กควรมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นี้ และคีย์เวิร์ดคำหนึ่งควรอยู่ในข้อความบรรทัดแรกของโฆษณา
หากต้องการแบ่งกลุ่มโฆษณาที่มีขนาดใหญ่ให้เล็กลงและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ให้ดูวิธีคัดลอกกลุ่มโฆษณาและแก้ไขคีย์เวิร์ดภายในกลุ่มโฆษณา
5. เขียนโฆษณาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการซื้อ
โฆษณาแบบข้อความควรระบุสิ่งที่ลูกค้าต้องการซื้ออย่างชัดเจน โปรดดูสถานการณ์ตัวอย่างดังต่อไปนี้
ผู้ใช้ค้นหา "ดอกลิลลี่ ส่งดอกไม้ตลอด 24 ชั่วโมง" และเห็นโฆษณาที่มีบรรทัดแรกว่า "สั่งดอกลิลลี่ด่วน - ส่งดอกไม้ตลอด 24 ชั่วโมง" จากนั้นจึงคลิกโฆษณาและไปยังเว็บไซต์ดอกไม้โดยตรงเพื่อสั่งซื้อจนเสร็จสมบูรณ์
ดูวิธีเขียนโฆษณาแบบข้อความให้ประสบความสำเร็จ
เคล็ดลับในการเขียนโฆษณาให้มีความเกี่ยวข้อง
- มีความชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังโปรโมต: ใส่คีย์เวิร์ดอย่างน้อย 1 คําในบรรทัดแรกของโฆษณา หากคุณใส่คำว่า "กล้องดิจิทัล" เป็นคีย์เวิร์ด บรรทัดแรกของโฆษณาก็ควรจะเป็น "ซื้อกล้องดิจิทัล" (โปรดทราบว่าการใช้เครื่องหมายการค้าในข้อความโฆษณาจะต้องเป็นไปตามนโยบายเครื่องหมายการค้าของ Google Ads)
- มีความเกี่ยวข้อง: ตรวจสอบว่าคุณกำลังเสนอคำตอบหรือโซลูชันให้แก่ลูกค้า เช่น หากลูกค้ากำลังมองหาโซลูชันที่อยู่ใกล้ๆ สถานที่ตั้งของคุณจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากที่สุดและควรเพิ่มไว้ในบรรทัดแรก
- จับคู่โฆษณากับบรรทัดแรก: ลองดูหน้าเว็บที่คุณลิงก์จากโฆษณา (หน้า Landing Page) และตรวจสอบว่าได้รวมโปรโมชันหรือผลิตภัณฑ์ในโฆษณาแล้ว ลูกค้าอาจออกจากเว็บไซต์หากไม่พบสิ่งที่คาดหวังไว้
- ตรวจสอบว่าโฆษณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ด้านบรรณาธิการ: โฆษณาทุกรายการจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานความเป็นมืออาชีพและมาตรฐานด้านบรรณาธิการระดับสูงเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีคุณภาพสูง ซึ่งหมายถึงการไม่ใช้วรรคมากเกินไป อักษรตัวพิมพ์ใหญ่แบบผิดแปลก เครื่องหมายตกใจ หรือ URL ที่ไม่ชัดเจน เป็นต้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกำหนดของโฆษณาแบบข้อความ
6. ใส่โฆษณาอย่างน้อย 3 รายการในกลุ่มโฆษณาแต่ละกลุ่ม
สิ่งสำคัญคือคุณต้องมีโฆษณามากกว่า 1 รายการเพื่อให้ Google Ads แสดงโฆษณาที่น่าจะมีประสิทธิภาพดีที่สุดสำหรับการค้นหาแต่ละครั้ง บรรทัดแรกของโฆษณาแต่ละรายการควรระบุคีย์เวิร์ดอย่างน้อย 1 คำ สำหรับบรรทัดแรกและคำอธิบายในโฆษณารายการอื่นแต่ละรายการจะไฮไลต์ข้อเสนอในแง่มุมที่แตกต่างกันได้
ลองใส่ข้อความเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านี้
- ผลิตภัณฑ์หรือบริการ: ธุรกิจของคุณนำเสนออะไร เช่น:
- ช่อดอกไม้จากชาวสวนในท้องถิ่น
- รถมือสองที่ผ่านการรับรองคุณภาพ
- แพ็กเกจเว็บโฮสติ้ง
- เรายินดีรับแผนการประกันส่วนใหญ่
- ประโยชน์: ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณช่วยเหลือผู้คนอย่างไร เช่น
- โพสต์ลงหลายเว็บไซต์ได้ง่ายดาย
- รับประทานอาหารอย่างสบายใจใน 30 นาที
- ไม่จำเป็นต้องทำอาหาร
- 2 สาขาแสนสะดวก
- แบรนด์: วลีใดใช้แบรนด์ของคุณบ้าง เช่น
- [ชื่อแบรนด์]
- [ชื่อแบรนด์.com]
- ราคาที่ดีที่สุดจาก [ชื่อแบรนด์]
- เว็บไซต์ทางการของ [ชื่อแบรนด์]
- คำกระตุ้นให้ดำเนินการ (Call-To-Action): คุณต้องการให้ลูกค้าทำอะไร เช่น
- จองโรงแรมในกรุงเทพ
- นัดทดลองขับเลยวันนี้
- เปรียบเทียบข้อเสนอสุดพิเศษกว่า 100 รายการ
- ลงชื่อสมัครใช้วันนี้เพื่อการทดสอบฟรี
- สินค้าคงคลังและตัวเลือก: คุณเสนอหมวดหมู่ ทางเลือก และแบบที่เลือกได้อะไรบ้าง เช่น
- มีตัวเลือกหลายร้อยรายการ
- สไตล์ฤดูหนาวแบบล่าสุด
- คลังผลิตภัณฑ์กว่า 50,000 รายการ
- 50 สไตล์ใน 50 สีสันสดใส
- ราคาและค่าธรรมเนียม: ราคา ภาษี หรือค่าธรรมเนียมของคุณคือเท่าใด เช่น
- จองได้ในราคาเพียง $[number]
- ไม่มีค่าธรรมเนียมการยกเลิก
- อัตราดอกเบี้ยต่อปี (APR) ระยะเริ่มต้น 0% เป็นเวลา 18 เดือน
- ค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำมากเพียง 0.05%
- โปรโมชันและส่วนลด: คุณมอบข้อเสนอประเภทใด เช่น
- ลดสูงสุดถึง 33% ทุกคำสั่งซื้อ
- พบข้อเสนอสำหรับสุดสัปดาห์ได้แล้วตอนนี้
- รับคะแนนสะสมเพิ่มขึ้นเท่าตัว
- รับโบนัสจากการลงชื่อสมัครใช้ $100
7. ใช้ชิ้นงานอย่างน้อย 4 รายการ
ผู้ลงโฆษณาส่วนใหญ่ใช้ชิ้นงาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างโฆษณา Search หากคุณเคยค้นหาใน Google แล้วเห็นโฆษณาที่มีปุ่มโทร ลิงก์เพิ่มเติม ที่อยู่ หรือข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ สิ่งที่คุณเห็นนั้นเรียกรวมว่าชิ้นงาน
ชิ้นงานช่วยให้โฆษณาของคุณมีขนาดใหญ่และโดดเด่นมากขึ้น จึงเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่เห็นดำเนินการกับโฆษณาได้โดยตรง ชิ้นงานจะเพิ่มได้ฟรี และโดยทั่วไปแล้วจะเพิ่มอัตราการคลิกผ่านและคุณภาพโฆษณาให้คุณ ระบบจะแสดงชิ้นงานเฉพาะเมื่อคาดการณ์ไว้ว่าจะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น การคลิกไปยังเว็บไซต์
อย่าลืมเพิ่มชิ้นงานอย่างน้อย 4 ประเภทลงในบัญชีหรือแคมเปญเพื่อช่วยให้คุณใช้แคมเปญ Search ให้เกิดคุณค่าได้มากที่สุด
ดูวิธีเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาด้วยชิ้นงาน