หากเป็นผู้ค้าปลีก คุณสามารถใช้แคมเปญ Performance Max เพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ออนไลน์และผลิตภัณฑ์ในร้าน เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์หรือร้านค้าในพื้นที่ และพบโอกาสในการขายที่เข้าเกณฑ์ยิ่งขึ้น ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโฆษณา Shopping
บทความนี้จะอธิบายวิธีเพิ่มผลิตภัณฑ์จากบัญชี Merchant Center ที่ลิงก์ลงในแคมเปญ Performance Max ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีด
Performance Max ทำงานด้วยระบบ AI ของ Google ในการสร้างการตั้งค่าแคมเปญที่จะช่วยให้คุณได้รับคุณค่าเพิ่มเติมจากการโฆษณา ขณะสร้างแคมเปญ คุณอาจได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับปัญหาที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพ ใช้เมนูการนําทางการสร้างแคมเปญเพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีสร้างแคมเปญให้ประสบความสําเร็จ
ในหน้านี้
- สร้างแคมเปญและเลือกเป้าหมาย
- ตั้งค่ากำหนดการเสนอราคา
- กำหนดการตั้งค่าแคมเปญ
- ตั้งค่ากลุ่มชิ้นงานและชิ้นงาน
- กำหนดงบประมาณ
- ตรวจสอบและเผยแพร่แคมเปญ
ก่อนเริ่มต้น
- ตรวจสอบว่าบัญชี Merchant Center ได้รับการตั้งค่าด้วยข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่จําเป็น เช่น รายละเอียดธุรกิจ ข้อมูลภาษี (สหรัฐอเมริกาเท่านั้น) เว็บไซต์ที่ได้รับการยืนยันและอ้างสิทธิ์ การตั้งค่าการจัดส่ง และข้อมูลผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
- บัญชี Google Ads ต้องลิงก์กับบัญชี Merchant Center แล้ว
- หมายเหตุ: ชิ้นงานที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติจะใช้กับโฆษณา Shopping ไม่ได้
วิธีการ
หากคุณโฆษณาผลิตภัณฑ์จาก Merchant Center ให้ทําตามขั้นตอนด้านล่างเพื่อสร้างแคมเปญ Performance Max หากคุณไม่คุ้นเคยกับเครื่องมือวัด Conversion โปรดดูตั้งค่าเครื่องมือวัด Conversion สําหรับเว็บไซต์ก่อนตั้งเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 1 จาก 6: สร้างแคมเปญและเลือกเป้าหมาย
- ในบัญชี Google Ads ให้คลิกปุ่มสร้าง จากนั้นเลือกแคมเปญ
- เลือกวัตถุประสงค์ของแคมเปญเป็น "ยอดขาย" "โอกาสในการขาย" "การเข้าชมเว็บไซต์" "การเข้าชมร้านค้าและโปรโมชันในพื้นที่" หรือ "สร้างแคมเปญโดยไม่มีคําแนะนําของเป้าหมาย"
- หลังจากยืนยันเป้าหมาย Conversion และเลือก Performance Max เป็นประเภทแคมเปญแล้ว ให้คลิกต่อไป
- หมายเหตุ: เป้าหมายบัญชีจะปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่คุณสามารถนําเป้าหมายเริ่มต้นออก หรือเพิ่มเป้าหมายใหม่โดยอิงตามผลลัพธ์ที่ต้องการได้
- เลือกบัญชี Merchant Center และประเทศหรือป้ายกํากับฟีดที่มีการขายผลิตภัณฑ์ (หากมี) ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีด
- ใส่ชื่อแคมเปญ
- เลือกต่อไป
สิ่งที่ควรคำนึงถึง
- อัปเดตหรือลบเป้าหมายที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่มีการอัปเดต: คุณควรอัปเดตเป้าหมาย Conversion เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงการนําเป้าหมายดังกล่าวออกจากเป้าหมายที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง คลิกไอคอน 3 จุด เพื่อแก้ไขหรือนําเป้าหมายที่ไม่เกี่ยวข้องออก หรือไปที่ "Conversion" เพื่ออัปเดตเป้าหมาย Conversion ระดับบัญชี
- กําหนดมูลค่า Conversion: กําหนดมูลค่า Conversion สําหรับเป้าหมายต่างๆ หรือเมื่อ Conversion แต่ละรายการมีมูลค่าต่อธุรกิจไม่เท่ากัน เช่น หากแคมเปญเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการโทรและการกระทำในเว็บไซต์ คุณสามารถกําหนดมูลค่าการโทรเป็นมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยได้ AI ของ Google จะเพิ่มประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่มี ROAS สูงสุด
ขั้นตอนที่ 2 จาก 6: ตั้งค่ากำหนดการเสนอราคา
- เลือกกลยุทธ์การเสนอราคาในส่วน "การเสนอราคา"
- Conversion: หากคุณเลือกช่อง "กำหนดต้นทุนต่อหนึ่งการกระทำที่ตั้งไว้" แคมเปญจะพยายามทำให้ได้ตาม CPA เป้าหมายที่คุณกรอก
- มูลค่า Conversion: หากคุณเลือกช่อง "กำหนดผลตอบแทนเป้าหมายจากค่าโฆษณา" แคมเปญจะพยายามทำให้ได้ตาม ROAS เป้าหมายที่คุณกรอก
- (ไม่บังคับ) ในส่วน "การได้ลูกค้าใหม่" ให้เลือกช่องทําเครื่องหมาย "เสนอราคาสำหรับลูกค้าใหม่เท่านั้น" หากต้องการปรับแต่งกลุ่มเป้าหมายโดยไม่คำนึงถึงกลยุทธ์การเสนอราคา ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเป้าหมายการได้ลูกค้าใหม่
- หมายเหตุ: หากต้องการเสนอราคาสำหรับลูกค้าใหม่ คุณจะต้องรวมกลุ่มเป้าหมายที่มีสมาชิกที่ใช้งานอยู่อย่างน้อย 1,000 รายในอย่างน้อย 1 เครือข่าย
- หากเลือกเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญเป้าหมายของร้านค้าเพื่อการได้ลูกค้าใหม่ โปรดทราบว่าแคมเปญจะแสดงต่อลูกค้าใหม่โดยพิจารณาจากข้อมูลต่อไปนี้
- Conversion การซื้อออนไลน์ที่ผ่านมา
- รายชื่อลูกค้าเดิมที่แชร์ผ่าน "การจับคู่ข้อมูลลูกค้า"
ดูรายละเอียดการได้ลูกค้าใหม่ได้ในแผง "สรุป Conversion จากการได้ผู้ใช้ใหม่" โปรดทราบว่าโหมดเดียวที่ใช้ได้กับเป้าหมายของร้านค้าคือโหมด "เฉพาะลูกค้าใหม่" หากเลือก "มูลค่าลูกค้าใหม่" แคมเปญจะไม่เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการได้ลูกค้าใหม่ และจะทํางานเป็นแคมเปญ Performance Max มาตรฐาน
กำหนดกลยุทธ์การเสนอราคา
Performance Max จะช่วยตั้งราคาเสนอที่เหมาะสมในการประมูลแต่ละครั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญตามเป้าหมายของคุณ
- หากคุณกำลังวัดมูลค่าจาก Conversion เราแนะนำให้ใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบ "เพิ่มมูลค่า Conversion สูงสุด"
- หากไม่ได้วัดมูลค่าและไม่ได้ให้ความสำคัญกับ Conversion ทั้งหมดอย่างเท่าเทียมกัน ให้พิจารณาใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบ "เพิ่มจำนวน Conversion สูงสุด"
ดูวิธีเลือกราคาเสนอและงบประมาณ
ขั้นตอนที่ 3 จาก 6: กำหนดการตั้งค่าแคมเปญ
- วิธีเพิ่มสถานที่ในแคมเปญคือไปที่หน้า "การตั้งค่าแคมเปญ" แล้วเลือก "สถานที่"
- หากเลือก "ทุกประเทศและเขตแดน" แคมเปญจะแสดงเฉพาะโฆษณา Shopping และ Search ในประเทศที่ขายผลิตภัณฑ์ หากคุณเพิ่มชิ้นงานวิดีโอ โฆษณาที่สร้างขึ้นจากชิ้นงานเหล่านี้อาจแสดงในทุกสถานที่
- วิธีระบุสถานที่ตั้งใหม่คือเลือก "ป้อนสถานที่อื่น" จากนั้นป้อนชื่อสถานที่ แล้วคลิกรวมหรือยกเว้น
- หากต้องการรวมพื้นที่หนึ่งๆ ภายในสถานที่ ให้เลือก "ใกล้เคียง" แล้วเลือกรวมหรือยกเว้นสถานที่อีกครั้ง
- ในเมนูแบบเลื่อนลง "ภาษา" ให้เลือกภาษาที่เหมาะกับลูกค้า โดยสามารถเลือกหลายภาษาเพื่อแสดงโฆษณาต่อลูกค้าบางกลุ่มได้
- หมายเหตุ: หากต้องการตัวเลือกสถานที่เพิ่มเติม ให้ใช้ "การค้นหาขั้นสูง" คุณจะเพิ่มสถานที่หลายแห่ง หรือจะป้อนสถานที่ 1 แห่งและรัศมีโดยรอบเป็นพื้นที่ที่ต้องการใช้กำหนดกลุ่มเป้าหมายของแคมเปญก็ได้
- ทำการตั้งค่าเพิ่มเติมที่คุณต้องการให้เสร็จสิ้นในส่วน "การตั้งค่าเพิ่มเติม" แล้วคลิกถัดไป
เปิดชิ้นงานที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ
หากคุณเลือกชิ้นงานที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ แคมเปญ Performance Max อาจสร้างชิ้นงานโดยอัตโนมัติในกรณีที่ AI ของ Google คาดการณ์ว่าจะปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญได้ AI ของ Google จะดูแลจัดการข้อความและรูปภาพจากหน้า Landing Page และแสดงในโฆษณาเมื่อคาดการณ์แล้วว่าจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพได้ จากนั้นคุณสามารถเพิ่มข้อมูล เช่น สีของแบรนด์ เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนแคมเปญในแบบของคุณ
หากคุณได้เลือกและเปิดการตั้งค่าชิ้นงานที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ (ชิ้นงานข้อความและ URL สุดท้าย) สำหรับแคมเปญใน Google Ads ไว้ ระบบอาจแทนที่ URL สุดท้ายด้วยโดเมนที่เกี่ยวข้องมากขึ้นโดยอิงตามความตั้งใจของลูกค้า ซึ่งจะใช้บรรทัดแรก คําอธิบาย และชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาแบบไดนามิกจากเนื้อหาของหน้า Landing Page เมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์นี้ คุณจะเพิ่มความสามารถในการแสดงของแคมเปญได้
การตั้งค่าเพิ่มเติม
คุณสามารถตั้งค่าการตั้งเวลาโฆษณา วันที่เริ่มต้นและวันที่สิ้นสุดแคมเปญ และการตั้งค่า URL ได้ในส่วน "การตั้งค่าเพิ่มเติม"
การตั้งเวลาโฆษณา
ใช้การตั้งเวลาโฆษณาเพื่อกําหนดจํานวนวันและเวลาที่จะแสดงโฆษณา สําหรับบางเป้าหมาย คุณควรแสดงโฆษณาในช่วงเวลาทำการหรือเมื่อคุณพร้อมตอบคำถามของลูกค้าเท่านั้น
- ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตั้งเวลาโฆษณา
- ดูวิธีสร้างช่วงเวลาที่โฆษณาทำงาน
ยกเว้นการเข้าชมแบรนด์
คุณสามารถป้องกันไม่ให้โฆษณาในแคมเปญ Performance Max แสดงในการค้นหาแบรนด์ที่เฉพาะเจาะจง (รวมถึงการสะกดผิด) ได้ด้วยการสร้างรายการแบรนด์ในบัญชี แล้วนําไปใช้กับแคมเปญ Performance Max
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตั้งค่าแบรนด์สําหรับ Search และ Performance Max
ตัวเลือก URL ของแคมเปญ
เทมเพลตการติดตามมีไว้สำหรับใส่ข้อมูลการติดตาม Performance Max รองรับเฉพาะเทมเพลตการติดตามระดับบัญชีหรือระดับแคมเปญ ระบบจะนำเทมเพลตการติดตามในระดับที่ต่ำกว่าออกโดยอัตโนมัติ เช่น กลุ่มโฆษณาหรือกลุ่มผลิตภัณฑ์
คุณสามารถใช้พารามิเตอร์ของ URL ภายในเทมเพลตเพื่อปรับแต่ง URL สุดท้ายได้ เมื่อมีการคลิกโฆษณา ระบบจะใช้ข้อมูลเพื่อสร้าง URL ของหน้า Landing Page
ฟีดหน้าเว็บ
ฟีดหน้าเว็บช่วยให้คุณระบุชุด URL ที่จะใช้ในการแสดงโฆษณาสําหรับแคมเปญ Performance Max รวมถึงสร้างเนื้อหาแบบไดนามิก เช่น บรรทัดแรกหรือคําอธิบายได้ หากคาดว่าจะตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้มากกว่า
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีใช้ฟีดหน้าเว็บใน Performance Max
ขั้นตอนที่ 4 จาก 6: ตั้งค่ากลุ่มชิ้นงานและชิ้นงาน
การตั้งค่าเริ่มต้นของ Google คือสร้างชิ้นงานในนามของคุณโดยอัตโนมัติ แต่คุณจะเปิดตัวแคมเปญโดยไม่มีชิ้นงานได้ อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนําให้คุณเพิ่มชิ้นงานของตัวเองเพื่อช่วยให้แคมเปญแสดงในแพลตฟอร์มต่างๆ ให้ได้มากที่สุดและช่วยให้ได้รับประสิทธิภาพสูงสุด
หากเพิ่มผลิตภัณฑ์จากบัญชี Merchant Center ลงในแคมเปญ ระบบจะสร้างชิ้นงานโดยอัตโนมัติโดยใช้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ของคุณ และคุณไม่จำเป็นต้องให้ชิ้นงานเพิ่มเติม ขอแนะนําให้คุณอัปโหลดบรรทัดแรก คําอธิบาย และรูปภาพต่อไปเพื่อช่วยให้ AI ของ Google สร้างและเพิ่มประสิทธิภาพครีเอทีฟโฆษณาโดยอัตโนมัติ
กลุ่มรายชื่อเป็นสิ่งจำเป็นและจะเป็นค่าเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในบัญชี Merchant Center ที่ระบุ นอกจากนี้คุณจะทําตามขั้นตอนด้านล่างเพื่ออัปโหลดชิ้นงานหากสร้างโฆษณา Shopping
- ใส่ชื่อกลุ่มชิ้นงานที่ไม่ซ้ำกันในหน้า "กลุ่มชิ้นงาน"
- ยืนยันกลุ่มรายชื่อของแคมเปญ กลุ่มรายชื่อช่วยให้คุณเลือกได้ว่าจะแสดงผลิตภัณฑ์ใดในโฆษณาของแคมเปญ ค่าเริ่มต้นคือผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในบัญชี Google Merchant Center ที่แนบมา แต่หากต้องการใช้ผลิตภัณฑ์บางรายการเท่านั้น ให้ทําตามขั้นตอนต่อไปนี้
- คลิกไอคอนดินสอ ข้าง "ผลิตภัณฑ์ทั้งหมด"
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บางรายการในโฆษณา
- คุณเลือกผลิตภัณฑ์ได้ตามหมวดหมู่ แบรนด์ รหัสสินค้า สภาพสินค้า ประเภทผลิตภัณฑ์ ช่องทาง หรือป้ายกำกับที่กำหนดเองจากเมนูแบบเลื่อนลง นอกจากนี้ยังเลือกค่าหลายรายการได้โดยป้อนประเภทผลิตภัณฑ์แยกกันโดยการขึ้นบรรทัดใหม่ด้วยตนเอง
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่ต้องการรวมไว้ในโฆษณา Performance Max และผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะปรากฏในคอลัมน์ทางด้านขวา หากต้องการนําผลิตภัณฑ์ออก ให้คลิก ข้างกลุ่มผลิตภัณฑ์
- คลิกบันทึกเพื่อตั้งค่าแคมเปญ Performance Max ให้เสร็จ
- สร้างกลุ่มชิ้นงานโดยใช้หลักเกณฑ์ด้านล่าง
ชิ้นงาน | หลักเกณฑ์ด้านชิ้นงานที่แนะนํา |
---|---|
รูปภาพ |
เพิ่มรูปภาพได้สูงสุด 15 รูป |
โลโก้ | เพิ่มโลโก้ได้สูงสุด 5 รายการ |
วิดีโอ |
หากคุณไม่ได้อัปโหลดวิดีโอ Google อาจสร้างวิดีโอจากชิ้นงานอื่นๆ โดยอัตโนมัติ หากต้องการเลือกไม่ใช้วิดีโอที่สร้างโดยอัตโนมัติ ให้อัปโหลดวิดีโอระหว่างการสร้างหรือเปิดตัวแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด Google จะปรับขนาดโฆษณาวิดีโอโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงคุณภาพของโฆษณาในแพลตฟอร์มต่างๆ โปรดทราบว่าหากไม่ได้วางแผนที่จะอัปโหลดวิดีโอ คุณจะต้องพิจารณาวิธีที่ชิ้นงานครีเอทีฟโฆษณาในวิดีโอที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติอาจปรากฏขึ้นหากมีการปรับขนาด หากคุณไม่มีวิดีโอ ให้ใช้เครื่องมือ Video Creation ของ Google Ads เพื่อสร้างวิดีโอ และโปรดจดจำหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
|
บรรทัดแรก (ไม่เกิน 30 อักขระ) | เพิ่มบรรทัดแรกได้สูงสุด 5 รายการ |
บรรทัดแรกแบบยาว (ไม่เกิน 90 อักขระ) | เพิ่มบรรทัดแรกแบบยาวได้สูงสุด 5 รายการ |
คำอธิบาย |
คําอธิบายแบบย่อ (ไม่เกิน 60 อักขระ)
|
คําอธิบายแบบยาว (ไม่เกิน 90 อักขระ)
*รูปแบบโฆษณาในพื้นที่ไม่รองรับคำอธิบายแบบยาว |
|
คำกระตุ้นให้ดำเนินการ (Call-To-Action) | เลือกคำกระตุ้นให้ดำเนินการ (Call-To-Action) ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย เช่น "ลงชื่อสมัครใช้" หรือ "สมัครใช้บริการ" |
ชื่อธุรกิจ | เพิ่มชื่อธุรกิจหรือแบรนด์ที่ปรากฏในข้อความของโฆษณา |
ตัวเลือก URL ของโฆษณา | เพิ่มเส้นทางสำหรับ URL ที่แสดง และเลือก URL อื่นเป็น URL สุดท้ายสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
URL สุดท้าย | เมื่อเปิด Final URL Expansion ไว้ Google อาจแทนที่ URL สุดท้ายด้วยหน้า Landing Page ที่เกี่ยวข้องมากขึ้นโดยอิงตามคําค้นหาของผู้ใช้ นอกจากนี้ Google อาจสร้างบรรทัดแรก คําอธิบาย และชิ้นงานแบบไดนามิกให้สอดคล้องกับหน้า Landing Page ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชิ้นงานที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ |
โปรโมชัน (ไม่บังคับ) |
ชิ้นงานโปรโมชันสามารถเพิ่มมูลค่าเพิ่มเติมได้โดยเน้นการลดราคาและโปรโมชันสำหรับผู้ที่ค้นหาดีลที่ดีที่สุดที่ธุรกิจของคุณนำเสนอ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีสร้างชิ้นงานโปรโมชัน หากสนใจใช้ชิ้นงานโปรโมชันเพื่อดึงดูดลูกค้ามาที่หน้าร้าน โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีใช้คูปองดิจิทัลผ่านชิ้นงานโปรโมชัน |
คุณสามารถสร้างกลุ่มชิ้นงานกลุ่มหนึ่งก่อนที่จะเปิดตัวแคมเปญ Performance Max และกลุ่มชิ้นงานอื่นๆ หลังการตั้งค่า ระบบจะรวมชิ้นงานให้อยู่ในรูปแบบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและแสดงครีเอทีฟโฆษณาที่ถูกใจผู้ใช้มากที่สุดโดยอัตโนมัติ
สัญญาณของกลุ่มเป้าหมาย
สัญญาณของกลุ่มเป้าหมายให้คุณเพิ่มคําแนะนําเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอัตโนมัติของ Google Ads เพื่อทำให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องเพิ่มสัญญาณของกลุ่มเป้าหมาย แต่การใช้สัญญาณนี้จะช่วยเร่งการเรียนรู้และแนะนำ AI ของ Google ในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญได้ดีที่สุด
โปรดทราบว่าแคมเปญ Performance Max อาจแสดงโฆษณาต่อกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องนอกสัญญาณหากมีแนวโน้มอย่างสูงที่จะมีการทำ Conversion เพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพ
- ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีสร้างสัญญาณของกลุ่มเป้าหมาย
- ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีใช้เครื่องมือสร้างกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมสําหรับแคมเปญและกลุ่มโฆษณาแต่ละรายการ
คุณภาพของโฆษณา
คุณภาพของโฆษณาคือตัวบ่งชี้ความเกี่ยวข้องและช่วงของชุดครีเอทีฟโฆษณา การมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับความต้องการและเป็นเอกลักษณ์มากขึ้นจะช่วยให้คุณแสดงโฆษณาที่เหมาะสมต่อลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา
ชิ้นงานโฆษณา
ชิ้นงานโฆษณาช่วยขยายโฆษณาและทําให้ผู้ใช้อยากดูโฆษณาหรือดําเนินการกับชิ้นงานดังกล่าวมากขึ้น โดยชิ้นงานจะเพิ่มข้อมูลธุรกิจที่เป็นประโยชน์ไว้ใต้โฆษณา ซึ่งได้แก่ สถานที่ ลิงก์เพิ่มเติม ราคา และอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงแนะนำให้ใช้ชิ้นงานในแคมเปญ Performance Max ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชิ้นงาน
ชิ้นงานโฆษณาในแคมเปญ Performance Max จะเชื่อมโยงกับเป้าหมายทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง และจะแสดงอย่างเด่นชัดมากขึ้นตามเป้าหมายของแคมเปญ ชิ้นงานโฆษณาทำสิ่งต่อไปนี้ได้
- แสดงข้อมูลที่ช่วยให้ผู้ใช้มีโอกาสเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ
- แสดงการกระทำที่เชิญให้ผู้ใช้ทําสิ่งต่างๆ มากกว่าการเข้าชมเว็บไซต์ ตัวอย่างการกระทำบางส่วนได้แก่ โทรหาธุรกิจ ส่งโฆษณาแบบกรอกฟอร์ม หรือดูสถานที่ตั้ง
- เชิญให้ผู้ใช้รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ หรือขยายการโต้ตอบระหว่างธุรกิจกับผู้ใช้
การสร้างวิดีโอใน Google Ads
คุณสามารถอัปโหลดวิดีโอของคุณเองในระหว่างการสร้างแคมเปญหรือใช้บริการ Video Creation ของ Google Ads แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างวิดีโอแนวนอนหรือแนวตั้งสําหรับแคมเปญของคุณ หากคุณไม่มีชิ้นงานวิดีโอและไม่ต้องการใช้วิดีโอที่สร้างโดยอัตโนมัติ ให้พิจารณาใช้เครื่องมือ Video Creation หากต้องการสร้างวิดีโอใน Google Ads ให้เลือกเทมเพลตจากคลังชิ้นงาน แล้วอัปโหลดรายการต่อไปนี้
- องค์ประกอบการสร้างแบรนด์ เช่น โลโก้หรือสีของแบรนด์
- รูปภาพ อย่างเช่นรูปภาพผลิตภัณฑ์หรือไลฟ์สไตล์
- ข้อความที่เหมาะกับวิดีโอ
เมื่อคุณสร้างวิดีโอ Google จะปรับขนาดโฆษณาวิดีโอโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงคุณภาพของโฆษณาในแพลตฟอร์มต่างๆ โปรดทราบว่าคุณยังสามารถครอบตัดหรือปรับโฟกัสรูปภาพใน Google Ads ได้ก่อนที่จะสร้างและอัปโหลดวิดีโอไปยังช่อง YouTube ที่กําหนดไว้สําหรับใช้ในแคมเปญ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีสร้างแคมเปญวิดีโอ
ขั้นตอนที่ 5 จาก 6: กำหนดงบประมาณ
งบประมาณของคุณจะเป็นตัวกำหนดจํานวนเงินสูงสุดที่เรียกเก็บต่อเดือนสำหรับแต่ละแคมเปญ จำนวนเงินสูงสุดที่เรียกเก็บคืองบประมาณเฉลี่ยรายวันที่คุณกําหนด คูณด้วยจำนวนวันโดยเฉลี่ยใน 1 เดือน แม้คุณจะใช้จ่ายแตกต่างกันไปในแต่ละวัน แต่ระบบจะเรียกเก็บเงินไม่เกินจำนวนเงินสูงสุดที่เรียกเก็บต่อเดือน ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวงเงินใช้จ่าย
สําหรับ Performance Max คุณควรทําดังนี้
- กําหนดงบประมาณเฉลี่ยรายวันที่มีมูลค่าอย่างน้อย 3 เท่าของ CPA หรือต้นทุน/Conv. สําหรับการกระทําที่ถือเป็น Conversion ที่เลือกไว้ของแคมเปญ คุณเปลี่ยนแปลงงบประมาณได้ทุกเมื่อ
- ตรวจสอบบัญชีทุกวันเพื่อดูประสิทธิภาพของแคมเปญจนถึงปัจจุบัน
- โปรดทราบว่าในวันที่โฆษณามีแนวโน้มได้รับการเข้าชมเพิ่มขึ้น คุณอาจต้องใช้งบประมาณเฉลี่ยรายวันมากขึ้น 2 เท่า ระบบจะทำให้การใช้จ่ายในช่วงวันดังกล่าวสมดุลด้วยการนำไปเฉลี่ยกับวันที่คุณมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่างบประมาณเฉลี่ยรายวัน
ขั้นตอนที่ 6 จาก 6: ตรวจสอบและเผยแพร่แคมเปญ
ก่อนที่จะสร้างแคมเปญให้เสร็จ ระบบจะนำคุณไปที่สรุปรีวิวพร้อมรายละเอียดของแคมเปญใหม่ เลือกเผยแพร่แคมเปญเพื่อดำเนินการให้เสร็จสมบูรณ์